คุณสาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนัก หลายคนมักจะรู้วิธีการลดน้ำหนักเป็นอย่างดี แต่คงมีไม่กี่คนที่รู้ว่า แคลอรี ที่อยู่ในอาหารคืออะไร และเพราะอะไร แคลอรี จึงทำให้อ้วนได้ ดังนั้นคุณก็ควรทำความรู้จักกับแคลอรีที่อยู่ในอาหาร แล้วคุณจะเข้าใจได้ทันทีว่าเจ้าน้ำหนักหรือความอ้วนนั้น แท้จริงไม่ได้มาจากชนิดอาหารที่คุณกินเพียงอย่างเดียว แต่มาจากปริมาณที่กิน และการนำไปใช้ด้วยติดตามต่อได้ในเว็บแนะนำข้อมูลสุขภาพ

แคลอรี่คืออะไรกันนะ?
แคลอรีคือหน่วยพลังงานที่มีอยู่ในอาหารต่างๆ ที่กินหรือดื่ม ซึ่ง 1 แคลอรีก็คือปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำน้ำหนัก 1 กรัม สามารถมีอุณหภูมิสูงขึ้นได้ 1 องศาเซลเซียส และในโลกนี้อาหารเกือบทุกชนิดล้วนมีแคลอรีทั้งสิ้น แต่อาหารแต่ละชนิดจะมีปริมาณแคลอรีที่ต่างกันไป เช่น
- เนื้อสัตว์ และคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม จะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี
- ไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานสูงถึง 9 กิโลแคลอรี
กิโลแคลอรีคืออะไร?
แคลอรีคือพลังงานที่อยู่ในตัวอาหาร แต่กิโลแคลอรีคือพลังงานที่ใช้ในร่างกายซึ่งตามปกติแล้ว
ร่างกายของคนเราต้องการพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างน้อยวันละ 25 กิโลแคลอรี: น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมดังนั้นถ้าคุณมีน้ำหนักตัวประมาณ 60 กิโลกรัม คุณก็ต้องการพลังงานจากอาหาร เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ถึง 1,500 กิโลแคลอรี (60 x 25 = 1,500)
ซึ่งคุณอาจต้องการพลังงานมากถึง 2,000 กิโลแคลอรีและ 2,000กิโลแคลอรีนี้ก็เป็นปริมาณพลังงานที่ผู้หญิงทั่วไปสมควรได้รับ แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่กิจกรรมหรือการงานที่คุณทำด้วย
แคลอรี ทำให้อ้วนได้อย่างไร?

สาวๆ บางคนกินมากจริงแต่ก็ออกกำลังกายมาก พวกเธอจึงไม่ค่อยอ้วน ขณะที่สาวบางคนกินไม่มากนัก แต่ไม่เคยออกกำลังกายเลย จึงอ้วนง่าย หรือมีไขมันสะสมบางจุด และคุณลองคิดดูเถอะว่าถ้าคุณกินมากถึง 7,700แคลอรีก็จะเท่ากับน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม หากคุณไม่รีบสลายพลังงานเหล่านี้เสียไวๆ หรือกินให้น้อยลง รับรองว่าในไม่ช้าน้ำหนักตัวคุณก็จะขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นการรักษาน้ำหนักให้คงที่เมื่อคุณได้น้ำหนักตัวที่พอใจแล้ว หรือการไดเอตเพื่อลดน้ำหนักส่วนเกิน ก็มีหัวใจหลักเดียวกันคือ การที่คุณต้องกินอาหารที่มีแคลอรีน้อย แล้วนำแคลอรีจากอาหารนั้นไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ให้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการออกกำลังกาย